2015 : ซิตี้เทรดดิ้ง...สังเวียนแรกราเกซ
|
คมชัดลึก : ยุคนั้นบีบีซีมี เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ราเกซ สักเสนา เป็นที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ เอกชัย อธิคมนันทะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ต่อมาราเกซได้ไปจัดตั้งบริษัท ซิตี้เทรดดิ้ง จำกัด ที่ประเทศอารูบา เกาะเล็กๆ
ในทะเลแคริบเบียน อาณานิคมของประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยมี น.ส.สุนันทา หาญวรเกียรติ และนายเทอรี่ อีสเตอร์ เป็นกรรมการบริษัท ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือตกราว 2.5 หมื่นบาทในยุคนั้น
2 เดือนให้หลังก่อตั้งบริษัทซิตี้เทรดดิ้งได้ยื่นกู้เงินกับผู้บริหารบีบีซีเป็นเงิน 2,000 ล้านบาท โดยอ้างว่าจะนำเงินไปซื้อหุ้นเพื่อครอบงำกิจการของบริษัท 3 แห่ง และจะนำหลักทรัพย์ใบหุ้นของบริษัททั้งสามซึ่งมีราคา 1,277 ล้านบาท กับที่ดิน 9 แปลง ใน จ.พิจิตร ของบริษัท ท่ายาง คอนซัลท์ จำกัด รวมถึงที่ดิน 2 แปลงใน จ.ปราจีนบุรี ของบริษัท 355 จำกัด มาเป็นหลักประกัน
อย่างไรก็ดี บริษัท ซิตี้เทรดดิ้ง จำกัด ได้ให้นายพิเศษ พานิชสมบัติ พนักงานประเมินราคาที่ดิน ทำเอกสารประเมินราคาที่ดินข้างต้นมีมูลค่ารวม 1,350 ล้านบาท จากนั้นนำมาเป็นหลักประกันการขอสินเชื่อ เพื่อให้เห็นว่าหลักประกันมีมูลค่ามากเพียงพอต่อการให้สินเชื่อ โดยนายราเกซเป็นผู้ดำเนินการนำเอกสารดังกล่าวมามอบให้เจ้าหน้าที่บีบีซี เพื่อเสนอให้นายเกริกเกียรติอนุมัติวงเงินกู้
ต่อมานายเกริกเกียรติได้อาศัยอำนาจที่มีในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่บีบีซีอนุมัติวงเงินสินเชื่อให้แก่บริษัท ซิตี้เทรดดิ้ง จำกัด เป็นเงิน 1,657 ล้านบาท โดยไม่เคยนำเข้าขอการพิจารณากลั่นกรอง หรือขออนุมัติจากคณะกรรมการสินเชื่อ คณะกรรมการบริหาร และคณะกรรมการธนาคาร จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของบีบีซีและผู้อื่น หรือประชาชนผู้ฝากทรัพย์ อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทย ที่กำหนดให้บีบีซีก่อนอนุมัติสินเชื่อก่อภาระผูกพันแก่ลูกค้ารายใหม่จะต้องเป็นกิจการที่มีพื้นฐานธุรกิจรองรับแท้จริง และสำหรับรายที่มีวงเงินตั้งแต่ 30 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องให้คณะกรรมการสินเชื่อ หรือคณะกรรมการบริหารของบีบีซีเป็นผู้พิจารณากลั่นกรองในเรื่องความเป็นไปได้ของโครงการเสียก่อน
แต่เกริกเกียรติเพิกเฉยต่อข้อกำหนดต่างๆ กระทั่งธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ตรวจพบความผิดปกติและความไม่ชอบมาพากลหลายอย่าง เริ่มจากที่ดินที่นำมาเป็นหลักประกันจำนองเงินกู้ บริษัท ซิตี้เทรดดิ้ง จำกัด ประเมินมูลค่าไว้สูงลิบลิ่ว 1,350 ล้านบาท แต่เมื่อแบงก์ชาติในฐานะเจ้าทุกข์ลงไปตรวจสอบพบว่าที่ดินที่นายราเกซนำมาจำนองเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันขอกู้เป็นที่นาร้าง มีมูลค่าจริงแค่ 26.9 ล้านบาทเท่านั้น แตกต่างจากการประเมินถึง 1,323 ล้านบาท !!!
และเมื่อบริษัท ซิตี้เทรดดิ้ง จำกัด ได้รับอนุมัติเงินกู้ 1,657 ล้านบาทแล้ว เงินก้อนนั้นกลับถูกนำไปซื้อกิจการในต่างประเทศ 3 แห่ง จากการตรวจสอบพบว่าเป็นกิจการที่มีผลประกอบการดี แต่นายราเกซกลับไม่ได้นำใบหุ้นของกิจการมาเป็นหลักทรัพย์จำนองกับบีบีซี นั่นเท่ากับว่าบีบีซีมีหลักทรัพย์เน่าๆ ที่ไม่คุ้มมูลหนี้ไว้ครอบครองจากการปล่อยกู้ให้แก่ซิตี้เทรดดิ้ง นอกจากนี้ยังตรวจพบด้วยว่านายเอกชัย อธิคมนันทะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บีบีซี ยังมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพัน โดยได้รับเงินจากนายราเกซกับพวกเป็นเงิน 75 ล้านบาทด้วย
เมื่อความจริงปรากฏแบงก์ชาติในฐานะผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจ (บก.สศก.) สมัยนั้น มีการรวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติหมายจับนายราเกซ สักเสนา ในข้อหายักยอกทรัพย์และความผิดตาม พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2539 เช่นเดียวกับนายเกริกเกียรติที่เข้ามอบตัวสู้คดีในเวลาต่อมา ส่วนนายราเกซหลบหนีไปอยู่ประเทศแคนาดา และถูกตำรวจจับกุมได้ที่เมืองวิสต์เลอร์ แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังในมณฑลบริติช โคลัมเบีย ในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน
ระหว่างการติดตามขอตัวนายราเกซกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ฝั่งอัยการไทยก็มีความเห็นสั่งฟ้องผู้เกี่ยวข้องกับคดีข้างต้นในความผิดลักษณะเดียวกัน ประกอบด้วย นายพิเศษ พานิชสมบัติ พนักงานประเมินราคาที่ดินเกินจริง เป็นจำเลยที่ 1, นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ เป็นจำเลยที่ 2, บริษัท ซิตี้เทรดดิ้ง จำกัด จำเลยที่ 3, น.ส.สุนันทา หาญวรเกียรติ กรรมการบริษัท ซิตี้เทรดดิ้งฯ จำเลยที่ 4, นายเอกชัย อธิคมนันทะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บีบีซี จำเลยที่ 5 และนายเทอรี่ อีสเตอร์ กรรมการบริษัท ซิตี้เทรดดิ้ง เป็นจำเลยที่ 6 โดยศาลประทับรับฟ้องในวันที่ 10 ตุลาคม 2539
10 ปีให้หลัง ศาลประทับรับฟ้อง วันที่ 20 มกราคม 2548 ศาลก็มีคำพิพากษาออกมาให้จำคุกนายเกริกเกียรติเป็นเวลา 10 ปี ปรับบริษัท ซิตี้เทรดดิ้ง จำกัด 1 ล้านบาท ส่วน น.ส.สุนันทา และนายเทอรี่ ตัดสินให้จำคุก 7 ปี ปรับ 1 ล้านบาท สำหรับนายเอกชัยให้จำคุกเป็นเวลา 8 ปี ปรับ 1 ล้านบาท พร้อมทั้งชดใช้เงินคืน 75 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.25 ต่อปี ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์
แต่ก่อนที่ศาลชั้นต้นของไทยจะมีคำพิพากษาออกมา ด้านพ่อมดการเงินราเกซก็ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เมื่อ รมว.ยุติธรรมแคนาดา มีคำตัดสินให้ส่งตัวเขาให้ทางการไทยในปี 2546 แต่นายราเกซได้ยื่นอุทธรณ์ยกเหตุผลถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมืองไทยค่อนข้างรุนแรง และคดีนี้เป็นคดีการเมือง กระทั่งวันที่ 11 มิถุนายน 2552 ศาลอุทธรณ์มณฑลบริติช โคลัมเบีย จึงมีคำพิพากษายืนตามคำตัดสินของ รมว.ยุติธรรมแคนาดา สุดท้ายศาลฎีกาก็มีความเห็นสอดคล้องกัน ให้นายราเกซกลับมาดำเนินคดีในเมืองไทยเมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา
นายราเกซเป็นผู้ต้องหาในคดีที่ธนาคารแห่งประเทศไทยร้องทุกข์ 16 คดี และคดีที่บีบีซีร้องทุกข์ 4 คดี รวม 20 คดี โดยสำนักงานอัยการสูงสุดได้ร้องขอต่อทางการแคนาดาขอตัวกลับมาดำเนินคดีเฉพาะคดีที่ 27/2539 ตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งอัยการจะสั่งฟ้องในความผิดเดียวกันกับเกิรกเกียรติ ชาลีจันทร์ อันนำมาสู่บ่วงโซ่แห่งพันธการไม่มีที่สิ้นสุด
ที่มา : ขอขอบคุณ หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก
|
|
แสนดีเจริญรุ่งเรือง
2009-11-09 09:35:47 203.155.220.***
stat :
291 posts ,
0 replys
|