ฟรี ร้านค้า ออนไลน์ 3.16.218.62 : 26-04-24 2:03:11   
หน้าแรก siam-shop.com ค้นหาร้านค้าสมาชิก
ชื่อสินค้า  
    หมวดสินค้าของเรา            
  
 
Notebook
กระเป๋า
กล้องถ่ายรูป
กวดวิชา ติวเตอร์ ฝึกอบรม
การเกษตร
การเงิน&บัญชี
ก่อสร้าง
ของที่ระลึกจากภาพยนตร์
ความงามและสุขภาพ
คอมพิวเตอร์
จตุคาม
จักรยาน&จักรยานยนต์
ตกแต่ง ซ่อมแซม
ตั๋ว&บัตร
ตุ๊กตา&ของเล่น
ที่ดิน
ที่พัก โรงแรม รีสอร์ท
ท่องเที่ยว
ธนบัตร&เหรียญ ของสะสม
นวนิยาย
บริการถ่ายภาพ
บ้าน
ประกันภัย&ประกันชีวิต
พระ
รถ รถตู้ให้เช่า
รถยนต์ ประดับยนต์
ล้อแม็กรถยนต์
วัตถุมงคล
สัตว์เลี้ยง
สำนักงาน
สินค้า หรือ บริการทั่วไป
หนังสือ
หนังสือการ์ตูน
หนังสือคอมฯ
หนังสือออกใหม่
ห้องซ้อมดนตรี
ห้องพัก หอพัก
อาคารชุด
อาคารพานิชย์
อินเตอร์เนต
อุปกรณ์ เครื่องเขียน แบบเรียน
อุปกรณ์กีฬา
อุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์
อุปกรณ์และของใช้ในบ้าน
เกมส์
เครื่องดนตรี กีตาร์ กลอง
เครื่องดนตรี คีย์บอร์ด เปียนโน
เครื่องถ่ายเอกสาร
เครื่องประดับ
เครื่องใช้ไฟฟ้า
เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย
โชว์ การแสดง
โต๊ะ เก้าอี้
โทรศัพท์&อุปกรณ์เสริม
โทรสาร
โน๊ตเพลง

  สปอนเซอร์ของเรา
   
   
   

ประกิตเผ่า แฉถูกจิตวิทยาหมู่ชักนำ ลั่นดำเนินคดี เป  

 
ประกิตเผ่า แฉถูกจิตวิทยาหมู่ชักนำ ลั่นดำเนินคดี เป
 
ประกิตเผ่า แฉถูกจิตวิทยาหมู่ชักนำ ลั่นดำเนินคดี "เป" ถึงที่สุด
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2550 11:48 น.
นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์
       "หมอประกิตเผ่า" เปิดใจหมดเปลือก ระบุชัดมีปัญหาเพราะถูกจิตวิทยาหมู่ชักนำให้หลงทางและคบคนผิด รับตอนที่จะหย่ากับภรรยามีสติน้อยมาก ลั่นถ้ามีสติดีๆ ไม่เคยมีความคิดเช่นนั้น เพราะรักภรรยามาก พร้อมประกาศจะไม่มีการเจรจายอมความกับ "เป" เพราะไม่ต้องการให้ไปกระทำกับคนอื่นอีก ชี้เตรียมกับไปสอนที่แอพพลายด์ฟิสิก์อีกครั้ง ก.ค.นี้
       
       วันนี้(15 มิ.ย.) ในการจัดการบรรยายทางวิชาการเนื่องในโอกาสครบรอบวันสถาปนา สถาบันกัลยาณ์ราชนคริทร์ ครบรอบ 36 ปี นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เจ้าของสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการครั้งแรก โดยเดินทางมาพร้อมกับครอบครัวคือพ่อ แม่ ภรรยาและน้องสาว
       
       นพ.ประกิตเผ่าได้กล่าวเริ่มต้นบรรยายพิเศษเกี่ยวกับการพิทักษ์สิทธิผู้ป่วยจิตเวชว่า โดยปกติแล้วผู้ที่มีปัญหาทางจิตหรือคนบ้าส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบ้า ซึ่งไม่เหมือนโรคทั่วไป เช่น ปวดหัว เป็นไข้ ปวดท้อง ที่เจ้าตัวจะรู้สึกตัวเองว่าไม่สบาย เช่นเดียวกับตนเองที่ตอนป่วยก็ไม่ทราบว่าผิดปกติ พูดและคิดแปลก โดยมั่นใจในตัวเองว่าเป็นปกติ จนกระทั่งพ่อแม่พี่น้องสังเกตเห็น จึงตัดสินใจนำตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลศรีธัญญา
       
       ทั้งนี้ ตั้งแต่ถูกนำตัวไปที่โรงพยาบาลศรีธัญญาก็จะรู้สึกตัวบ้างไม่รู้สึกตัวบ้าง แต่พอจำได้บ้างว่า เมื่อไปถึงก็รู้ตัวแค่ 20 นาที จากนั้นก็หลับไปและไม่รู้ตัวอีกเลย จากนั้นก็มีสติสัมปชัญญะขึ้นมาเป็นครั้งคราว เช่น พอจำได้ว่า ได้แสดงมวยไทยต่อสู้กับบุรุษพยาบาลหลายคน หรือตอนที่ศาลเผชิญสืบก็รู้สึกตัวว่ามีคนเข้ามา จากนั้นมารู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่มีการย้ายจากโรงพยาบาลศรีธัญญาไปรักษาที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ โดยเจ้าหน้าที่บอกให้เข้าไปในรถ
       
       นพ.ประกิตเผ่ากล่าวต่อว่า เมื่อย้ายไปรักษาที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ในช่วงแรกมีอาการระแวงอาการภรรยาอยู่ เพราะเชื่อว่าถูกไสยศาสตร์ กลัวภรรยาจะทำร้าย ตอนภรรยาเข้ามาใกล้รู้สึกเหมือนเป็นภาพยักษ์ขมูขี แต่พอถึงต้นเดือนเมษายนอาการเริ่มดีขึ้น จากนั้นเมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดคือวันที่ 6เมษายน อาการก็ดีขึ้นและจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด ซึ่งเมื่อทราบข่าวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก็รู้สึกเสียใจที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น
       
       "ตอนที่ผมไปอำเภอเพื่อไปหย่ากับภรรยามีสติน้อยมาก ซึ่งถ้าเกิดสติดีๆ ก็ไม่เคยมีความคิดที่จะหย่าร้างเลย เพราะรักภรรยามาก และครอบครัวมีความสุข มีความอบอุ่น ทั้งนี้ ระหว่างการรักษาก็ได้มีการบันทึกสิ่งที่คิด คือหมอให้บันทึกว่าคิดอะไรในแต่ละวัน ถูกหลอกลวงทรัพย์อะไรไปบ้างก็จดบันทึกเอาไว้ จากนั้นตอนเดือนพ.ค.แพทย์อนุญาตให้ทดสอบกลับมาอยู่บ้านว่าอย่ได้ไหม โดยให้ครอบครัวเป็นส่วนหนึ่งในการบำบัด ก็กลับมาครั้งละ 1-2 วัน"
       
       "สิทธิที่ใครจะนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาล ผมมองว่า ควรจะเป็นครอบครัว เพราะครอบครัวเป็นผู้ได้รับผล เนื่องจากผู้ป่วยจะไม่รู้สึกตัว แต่ญาติจะเห็นความเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ซึ่งเวลานี้แม่กับพี่ชายก็ถูกฟ้องกลายเป็นจำเลยสังคม ทั้งๆ ที่ครอบครัวไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย ในช่วงที่รักษาที่โรงพยาศรีธัญญา รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย ซึ่งอาจไม่ใช่ความหละหลวมของโรงพยาบาล แต่เป็นเพราะผมน่าอุ้ม เพราะช่วงที่อยู่แรกๆ มีเจ้าหน้าที่ที่แต่งตัวท่อนเหมือนตำรวจมาอุ้มและพยาบาลพาออกไป ครั้งที่สองก็เป็นคนชุดขาว 4-5 คนอุ้มออกไป"
       
       นพ.ประกิตเผ่าแสดงความคิดเห็นด้วยว่า สำหรับเรื่องการรักษาผู้ป่วยจิตเวช สิ่งสำคัญคือเรื่องคุณภาพในการรักษาและค่าใช้จ่าย เพราะมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งตนเองต้องใช้เงินในการรักษาตกอยู่ที่ประมาณวันละ 1,000 พันบาท หรือเดือนหนึ่งเกือบ 30,000 บาท ก็เป็นราคาที่แพงมาก ถ้าคนที่ไม่มีเงินก็รักษาลำบาก เช่นเดียวกับการรักษาที่มีคุณภาพที่ช่วยรักษาอาการให้หายได้ อย่างไรก็ตาม อยากให้มีการรักษาสิทธิของผู้ป่วยในการรักษาด้วย ซึ่งครั้งนี้ครอบครัวได้มอบเงินให้มูลนิธิกัลยาณ์ราชนครินทร์ 50,000 บาทและคอมพิวเตอร์อีก 1 เครื่อง
       
       "ตอนที่อยู่โรงพยาบาลไม่มีกิจกรรมอะไรมาก ส่วนใหญ่ก็กินกับนอน นอกนั้นก็มีจ็อกกิ้งบ้าง ไม่มีหนังสือ ไม่มีทีวี พอหกโมงเย็นก็สวดมนต์นอน ส่วนเพื่อนผู้ป่วยก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ทุกคนน่ารัก ยกเว้นที่มีการอาละวาด ก็จะมีการแยกผู้ป่วย ผมเองต้องกินยาวันละ 23 เม็ด เช้า 12 เย็น 11 เม็ด ช่วงแรกหมอก็จะอัดยาให้เต็มที่ ออกจากโรงพยาบยาลก็ลดยาเหลือ 1 ใน 3 และกินยาต่อเนื่องไปอีก 2 ปี"
       
       เมื่อถามว่าวิธีการรักษาเป็นอย่างไร นพ.ประกิตเผ่าบอกว่า ใช้จิตวิทยาบำบัด โดยแพทย์จะพูดคุยกับคนไข้ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการใช้ยา เนื่องจากจะได้เห็นปมของปัญหาที่แท้จริง การที่เคยมีข่าวบอกว่า มีการฉีดยาเพื่อให้บ้าเป็นไปไม่ได้
       
       นอกจากนี้ นพ.ประกิตเผ่ายังได้ออกแถลงการณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด 6 ข้อ โดยสาระสำคัญคือ ยอมรับว่าตนเองป่วยด้วยอาการอารมณ์แปรปรวน ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้จิตวิทยาหมู่ โดยมีลักษณะเช่นมีคน 5 คนนัดกันไว้ล่วงหน้าว่าจะพูดเช่นนั้น ทำอย่างนี้ ส่วนอีกคนไม่รู้เรื่อง แล้วกระทำอย่างนี้ซ้ำเพื่อชักจูงให้หลงเชื่อ ทำให้เกิดอาการหลงผิด ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นช่วงตุลาคม 49 ขณะเดียวกันก็ยอมรับก่อนหน้านี้ตนเองเป็นคนที่ชอบนั่งสมาธิ สวดมนต์เป็นชั่วโมงๆ
       
       "หลายคนถามว่า เป็นไปได้อย่างไรที่อายุมากแล้ว แล้วก็เป็นหมอด้วยทำไมถึงถูกหลอกได้ง่ายนัก ผมก็ต้องตอบว่า คนเรา ถ้าเจอจิตวิทยาหมู่ติดต่อกัน 5 เดือน และใช้วิธีการหลายๆ อย่าง ใครก็เป๋ได้ สำหรับการนั่งสมาธินั้น ผมแนะนำให้ได้ผลจะต้องนั่งตัวต่อตัว ตรวจสอบอารมณ์ว่ามีความหลงหรือยัง เพราะถ้าเกิดฝึกไปในระดับหนึ่งจะเห็นภาพได้ยินเสียงที่ไม่เคยได้ยิน ก็ต้องไม่ยึดติดและผ่านไป แต่ผมยึดติดเพราะมีความสุขมันก็เลยหลุดไป"
       
       "ผมยืนยันอีกครั้งว่ารักลูกและเมียมาก ไม่เคยคิดนอกใจภรรยา ซึ่งได้ตกลงกันไว้ก่อนแต่งงานช่วงที่ไปขอหย่าเป็นเพราะมีร่างทรงบอกให้หย่า ถ้าไม่หย่าจะทำให้ครอบครัวทรงมีปัญหา แล้วช่วงนั้นผมอาการหนักแล้ว จะมีอาการหูแว่ว จะเห็นเลือดออกจากร่างทรงทางหู จมูก ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เช่นตอนที่หลงไปมีการนอกใจหรือไม่ ทั้งหมดอยู่ในสำนวนคดีหมดแล้วช่วงเวลาที่ไม่สบายมีจดหมายและโทรศัพท์มาคุยตลอด เยอะมาก บางคนก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ก็แสดงความเห็นใจว่า ครอบคัวถูกกระทำ ส่งดอกไม้มาเยี่ยม ให้กำลังใจ เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนเด็กๆ นักเรียนมักจะถามว่า เมือ่ไหร่จะกลับมาสอน ซึ่งตนเองคาดว่า น่าจะกลับไปสอนเดือนกรกฎาคมนี้ ผมมั่นใจว่าหายเป็นปกติ เพราะโรคทางจิตเวชหายได้ ขออย่าให้รังเกียจหรือว่ากีดกันไม่รับเข้าไปทำงาน ผมนั่งอยู่ตรงนี้ก็พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า คนที่มีการป่วยทางจิตก็สามารถหายและกลับไปทำงานได้"
       
       เมื่อถามเรื่องผลประโยชน์ของสถาบันแอพพลายด์ฟิสิกส์ นพ.ประกิตกล่าวว่า ครอบครัวรักกันมาก พี่น้อง 4 คนมีอาชีพเป็นของตัวเอง โดยทุกคนเป็นหมอทั้งหมด ซึ่งทุกคนมีสติปัยญาที่จะทำมาหากินเองได้ ส่วนการทำงานของสถาบันก็เป็นลักษณะของกงสี สถาบันไม่ใช่เป็นของตนคนเดียว โดยพ่อกับแม่ก็จะเป็นคนที่คอยควบคุมดูแลทั้งหมด ทั้งนี้ที่ผ่านมา มีเด็กมาเรียนประมาณ 5 หมื่นคนต่อปี เด็กที่เรียนราคาต่อคอร์สถูกที่สุด 750 แพงที่สุด 4,000 บาท ส่วนช่วงที่มีปัญหายังไม่ทราบว่าเด็กจะลดลงไปหรือไม่ แต่ถ้ามีผลกระทบก็จะต้องยอมรับ
       
       "ในส่วนของคดีความจะไม่มีการเจรจายอมความ จะให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุดส่วนที่จะต้องไปเป็นพยานให้ทั้งโจทย์และจำเลย ข่าวนี้ยังงงอยู่ แต่หากมีหมายศาลก็ต้องไป เงินที่หายไปจากธนาคาร 25 ล้าน ช่วงนั้นไม่รู้สึกตัว ไม่รู้เรื่อง แต่เป็นเงินที่เกี่ยวกับคดี 10 กว่าล้าน บทเรียนที่ได้จากครั้งนี้เป็นเรื่องของการคบคน หากคบบัณฑิตย่อมพาไปหาผล ความผิดพลาดทั้งหมดนอกจากเรื่องเวรกรรมแล้ว คงเป็นเพราะเรื่องของการเลือกคบคนผิด ต้องดำเนินการให้ถึงที่สุดเพื่อไม่ให้ไปกระทำกับคนอื่นอีก"นพ.ประกิตเผ่ากล่าว

   
   
 
 
แสดงความเห็นต่อบทความนี้
User :
Pass :
ลืมรหัสผ่าน

 
 
© Copyright 2007 SIAM-SHOP.COM All Rights Reserved.