ฟรี ร้านค้า ออนไลน์ 3.136.154.103 : 20-04-24 6:55:17   
หน้าแรก siam-shop.com ค้นหาร้านค้าสมาชิก
ชื่อสินค้า  
    หมวดสินค้าของเรา            
  
 
Notebook
กระเป๋า
กล้องถ่ายรูป
กวดวิชา ติวเตอร์ ฝึกอบรม
การเกษตร
การเงิน&บัญชี
ก่อสร้าง
ของที่ระลึกจากภาพยนตร์
ความงามและสุขภาพ
คอมพิวเตอร์
จตุคาม
จักรยาน&จักรยานยนต์
ตกแต่ง ซ่อมแซม
ตั๋ว&บัตร
ตุ๊กตา&ของเล่น
ที่ดิน
ที่พัก โรงแรม รีสอร์ท
ท่องเที่ยว
ธนบัตร&เหรียญ ของสะสม
นวนิยาย
บริการถ่ายภาพ
บ้าน
ประกันภัย&ประกันชีวิต
พระ
รถ รถตู้ให้เช่า
รถยนต์ ประดับยนต์
ล้อแม็กรถยนต์
วัตถุมงคล
สัตว์เลี้ยง
สำนักงาน
สินค้า หรือ บริการทั่วไป
หนังสือ
หนังสือการ์ตูน
หนังสือคอมฯ
หนังสือออกใหม่
ห้องซ้อมดนตรี
ห้องพัก หอพัก
อาคารชุด
อาคารพานิชย์
อินเตอร์เนต
อุปกรณ์ เครื่องเขียน แบบเรียน
อุปกรณ์กีฬา
อุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์
อุปกรณ์และของใช้ในบ้าน
เกมส์
เครื่องดนตรี กีตาร์ กลอง
เครื่องดนตรี คีย์บอร์ด เปียนโน
เครื่องถ่ายเอกสาร
เครื่องประดับ
เครื่องใช้ไฟฟ้า
เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย
โชว์ การแสดง
โต๊ะ เก้าอี้
โทรศัพท์&อุปกรณ์เสริม
โทรสาร
โน๊ตเพลง

  สปอนเซอร์ของเรา
   
   
   

อุทาหรณ์***การเลี้ยงลูก  

 
อุทาหรณ์***การเลี้ยงลูก
 

โปรดอ่านให้จบ เป็นประโยชน์กับทุก ๆ ท่าน

อุทาหรณ์***ยัดเยียดการเรียนเกินไป ทำให้เด็กสติขาดเรื่องจริงที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต

 

หวัดดีค่ะ ก่อนอื่นจะเล่าเรื่องให้ฟังค่ะ เพิ่งได้รับทราบมาเหมือนกันจากปากของเพื่อนทั้งน้ำตา และคิดว่ามีประโยชน์ไม่มากก็น้อย

เพื่อนคนนี้ไม่ได้ติดต่อมานานประมาณ เกือบๆๆ4 ปีเห็นจะได้ คือไม่สนิทเท่าไร แต่พูดคุยกันได้ และตอนนี้เพื่อนมีลูกแล้วค่ะ แต่มีเพื่อนน้อย เพื่อนแต่งงานกับวิศกร(สามี)ที่เก่งมากค่ะ และตัวเพื่อนเองก็จบมหาลัยเอกชน ก็เกียรตินิยมอันดับ 2 ด้านภาษาต่างประเทศค่ะ คือเหมาะสมถึงไม่รวยมาก แต่ก็เกินปานกลางนะคะ พอแต่งงานก็ไม่ได้ติดต่อใคร แต่ทราบว่ามีลูก ณ. ปัจจุบันก็ 5 ขวบกว่าแล้วค่ะ ได้โทรไปหาเพื่อน เพระตอนนี้เรามีลูก 4 ขวบกว่าค่ะ ก็หาข้อมูลเรื่องการเรียนในนี้เป็นหลัก และอาศัยถามคนอื่นด้วย และไม่อายที่จะถามด้วย เพราะคิดว่ายิ่งรู้มาก ก็ยิ่งดี จึงได้โทรไปหาเพื่อนค่ะ และถามเรื่องลูก สิ่งที่ได้รับ คือ การปล่อยโฮอย่างแรง ร้องไห้จะเป็นจะตายเดียวนั้น เราก็ตกใจ เฮ้ย แกเป็นไรว่า เป็นไร

มันบอกว่ามันอึดอัด มันจะบ้าอยู่แล้ว ปรึกษาใครก็ไม่ได้ ทุกวันนี้มันถูกตราหน้าว่าเป็นคนผิด “ผิดอย่างร้ายกาจ” จากครอบครัวสามี และ แม่ตัวเอง มันปรึกษาใครก็ไม่ได้ เพระพื้นฐานคือ ทั้งสามีและเพื่อน เป็นคนเสียเงินเท่าไรเท่ากัน แต่อายหรือไม่สมบูรณ์ไม่ได้ ดังนั้นมันจึงไม่ปรึกษาใครเลย เพราะมันอายและไม่อยากให้ใครดูถูกมัน เรื่องคือ ลูกชายเข้าเรียนตอน 3 ขวบกว่านิดๆ ได้เข้าเรียนในระดับโรงเรียนดังเลย ค่าเทอมเป็นแสน คอมพร้อม เพื่อนดี สังคมดูดี เพอร์เฟ็กและโรงเรียนเป็นที่หมายตามักมาก ..

ให้ข้อมูลผิดนิดค่ะ คือลูกชายเพื่อน อายุจะ 7 ขวบแล้วค่ะ ที่นี้โรงเรียนดัง ก็พ่อแม่ต่างก็ผลักและดันกันสุดฤทธิ์(มันบอกอย่างนี้ค่ะ) เงินพร้อมซะอย่าง ก็คุยกันต้องติวอย่างนั้น ต้องครูคนนี้ ฝรั่งคนนี้ ต้องเรียนนี้เสริม เจ๋งค่ะ เพื่อนก็เป็นเช่นนั้น และมันบอกว่าก็มีการเม้มที่เด็ดๆไว้ไม่บอกใครก็มี........ฮื่อ....

ที่นี้ ลูกเรียนวันจันทร์ – ศุกร์ ยัน 6 โมงเย็น และเป็นอย่างงี้ มาตั้งแต่ อนุบาล 1 ถึง 3    เข้านอน ไม่เกิน 3 ทุ่ม เพราะต้องตื่นเช้าไปส่ง ตื่นตอน ตี 5 ครึ่ง เพราะเพื่อนมีบ้านในหมู่บ้านใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่นอกเขตและห่างจากโรงเรียนค่อนข้างมาก ออกจากบ้าน ไม่เกิน 6 โมงเช้า เท่านั้น และไปถึงโรงเรียน ประมาณ เกือบ 7 โมง วันเสาร์ เรียนพิเศษเสริม เริ่ม 8 โมงเช้าถึง บ่ายโมง และ ตอนบ่าย 3 เรียนว่ายน้ำ จึงได้กลับบ้าน ส่วนวันอาทิตย์ ครึ่งวันเช้าเรียนที่สถาบันคุมองต์ เสริม   ครึ่งวันหลังผักผ่อน...ตอน 1 ทุ่มวันอาทิตย์ต้องทบทวนงานและเตรียมความพร้อมเพื่อไปเรียนวันจันทร์ และแนะนำจากพ่อและแม่ ไม่เกิน 3 ทุ่มเข้านอน

และเหตุการณ์ที่มันเล่าแบบสะเทือนใจตอนหลังคือ .....ลูกไม่มีเพื่อนในหมูบ้านเลยสักคนเดียว...เพระไม่ได้คุยกับใครอยู่แล้ว สังคมเมืองของแท้ ปั่นแต่จักรยานของเค้าเท่านั้น วันนั้น วันอาทิตย์ ลูกก็ปั่นจักยานไม่ยอมเข้าบ้าน แม่ก็เรียก ให้มาอาบน้ำได้แล้ว 6 โมงเย็นแล้ว เตรียมกินข้าว และทบทวนการบ้าน ลูกก็ไม่ฟัง จนเพื่อนและสามีโมโห บอกว่า เสียงดังนะคะ ....เข้าบ้านเดียวนี้ เข้าบ้านเลย ทำไมดื้ออย่างนี้ ยิ่งโตยิ่งดื้อ (เพื่อนว่าลูก) จะไม่ให้ขี่จักรยานอีกต่อไป  ตัวสามีก็ไปดึงจักรยานออกจากลูก และแม่มาจับลูก (สามี)เข้าบ้าน  ป๋าจะโยนจักรยานทิ้งซะ  ถ้าทำอย่างนี้อีก

ลูกชายเข้าไปกอดขาพ่อ และยกมือ ป๋าอย่าทำ หนูไม่มีเพื่อนที่ไหน จักรยานคือ เพื่อนของหนู หนูมีจักรยานเป็นเพื่อนเท่านั้น ป๋าอย่าทำนะ  ทั้งเพื่อนและสามีก็ไม่ใส่ใจอะไร เพียงต้องการให้เข้าไปอ่านหนังสือเท่านั้น

และ.อีกเหตุการณ์หนึ่ง กว่าจะจับใจความได้มันร้องไห้ไม่หยุดเพื่อนจุดพลุเลย....ลูกกลับจากบ้าน คุยกับพ่อและแม่  อยากดู อุลตล้าแมน  มดเอ๊ก บ้าง  เพื่อนๆ คุยกันที่โรงเรียน   เค้าไม่รู้เรื่องเลย เพื่อนยังบอกว่าที่บ้านไม่มีทีวีหรือไง (เด็กอนุบาลนะค่ะ) ทำให้เค้าไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ  เค้าได้ดูแต่การ์ตูนเสริมความรู้ เช่น ถ้าดู UBC ก็ประมาณ ดอร่า หมาบลู ประมาณนี้  สามีและเพื่อนบอกว่า ลูกอย่าทำตัวไร้สาระได้หรือเปล่า ตอนนี้เพื่อนเพื่อนๆ ลูกอยากทำอะไรก็ปล่อยเค้าไป  การ์ตูนมีแต่ความรุนแรงไม่เสริมความรู้อะไรเลย เราได้เปรียบ เราใช้เวลาทบทวนและเรียน ในขณะที่คนอื่นเค้าไร้สาระ   ลูกลองคิดดู โตขึ้นลูกก็จะเป็นนาย ของคนพวกนี้ และคนพวกนี้จะไม่เหนือลูกเด็ดขาด การสอนจะประมาณนี้ตลอด แต่เพื่อนบอกว่า เค้าและสามีทำดีที่สุดและ ให้ในสิ่งที่ดีที่สุด ที่คนทั่วไปบางทีก็ให้ไม่ได้ด้วยซ้ำไป

ที่นี้หนักสุด ต้องติว เข้า ป. 1 ที่นี้เวลาเล่นแทบน้อยมาก  แต่ก็ได้ ติดที่ ป. 1 ตามที่หวังไว้  แต่ก็ต้องเรียนเสริมเหมือนเดิม.ฯลฯ  จนถึงวันที่ลูกทนไม่ได้   จนลูกโกรธจนตัวสั่น   และพูดว่า เค้าจะไม่เป็นคนดี เค้าเบื่อที่สุดแล้ว เค้าอยากเล่นฟุตบอล  เค้าอยากวิ่งเล่น  อยากดูการ์ตูน  อยากอ่านขายหัวเราะให้พ่อแม่อนุญาตอ่านให้ เค้าเกลียดพ่อและแม่ ทำไมต้องบังคับ ทำไมต้องอาย ทำไม เค้าจะเป็นคนชั่ว (เพื่อนมันบอกว่า ลูกพูดจนลิ้นพันกัน ตัวสั่นไปหมด จับลำดับคำพูดยาก (ป 1) อะไรก็พูดๆๆๆๆออกมา ร้องไห้ หน้าแดง กำหมัด ขว้างข้าวของ  เสียงดัง ในระหว่างนั้น สามีและเพื่อนก็ใช้เสียงดังเพื่อหยุดพฤติกรรม แต่ไม่เป็นผล ยิ่งดัง ก็ยิ่งดังใส่ จนเด็กเป็นลม คงสะสมมานาน  

พอผ่านไปสักระยะ จนทางโรงเรียนมีจดหมายมาถึงเพื่อเชิญผู้ปกครองไปพบ พอไปถึงโรงเรียน ทางครูบอกว่า ตอนนี้น้องมีอาการเหม่อลอย ไม่มองกระดาน และไม่มีปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ให้ทำอะไรทำได้หมด แต่ทำไปอย่างให้จบไป ไม่มีอารมณ์ร่วมแม้แต่น้อย บางครั้งก็มีน้ำตาเอ่อ แต่ไม่ไหลออกมาเป็นระยะ และพูดน้อยลง ใช้สายตาและท่าทางคิดมากขึ้น....ฯลฯ  เพื่อนและสามีไม่ยอมรับและไม่เชื่อ ก็สักพักใหญ่ๆ  จึงไปพบหมอที่สมิตเวช หมอแจ้งว่า.....น้องกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างแรง บวกกับเก็บกดภายในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกมานาน  จนระเบิดออกมาเหมือนคนเสียสติ เค้าไม่ได้บ้า หรือพิการทางสมอง แต่เค้าปิดกั้นทุกสิ่งทุกอย่างเอง ไม่รับเอง ไม่เอาเอง ซึ่งตรงนี้น่าวิตกคือ แล้วเมื่อไรเค้าจะรับ และเปิดใจกลับมาเหมือนเดิม สมาธิและจิตใจได้ถูกตัดด้วยตัวเค้าเอง...... เค้าอยากอยู่แต่ในโลกจินตนาการที่เค้าคิดว่านั้นคือความสุขของเค้า ไม่อยากออกมาเลยด้วยซ้ำ   คงต้องใช้เวลามาก เพราะถ้าเรารู้ว่าเค้าสมาธิสั้น เรามีทางแก้ ถ้าเค้าเป็นดาว เรารู้วิธี แต่เค้าเลือกเองที่จะปิดตัวเองอย่างเด็ดขาด ถ้าปล่อยไว้จะกลายเป็นคนวิกลจริตทางความคิดในอนาคต  ทุกวันนี้ผลคือ สามีก็ยอมรับในระดับหนึ่ง แต่ก็เริ่มโทษภรรยา  มากกว่าโทษตัวเอง ตอนนี้มันรับกรรมเต็มๆ  ลูกไม่สามารถเรียนได้แล้วคะ   ต้องพบจิตแพทย์เด็กโดยตรง ถึงตรงนี้ มันบอกว่ามันเรียกลูกกลับมาไม่ได้แล้วจริงๆ   มันเศร้ามากค่ะ   มันก็กำชับไม่ให้ดิฉันบอกใครเพระมันอาย..

   
   
 
 
 
ความเห็นที่ 1[ 58]
  สะเทือนใจ เห็นใจ มีวิธีไหนที่จะช่วยน้องได้ดีเท่ากับพ่อแม่หันหน้าเข้าหากัน เห็นใจกันร่วมกันคิด ร่วมใจกันประคองความรู้สึกที่ดีให้ความรักเค้าคุยกับเค้า ให้ความรักเค้าอย่างที่เค้าอยากให้เป็นไม่ใช่ให้ในสิ่งที่เราอยาก ไม่แน่นะคะปาฏิหารย์ความรักของพ่อและแม่อาจจะทำให้เค้ากลับมาเป็นเหมือนเดิม หรือดีกว่าเดิมก็ได้นะคะ
 

หทัยรัชย์ [ 2007-08-20 22:57:39 ]
   
 
ความเห็นที่ 2[ 64]
  ต้องนึกถึงใจและความต้องการของเด็กด้วย ปลูกฝังไม่ใช่ยัดเยี่ยด เป็นบทเรียนที่ดีค่ะ
 

jane [ 2007-08-28 10:42:03 ]
   
 
ความเห็นที่ 3[ 103]
  ขอบคุณค่ะ ที่แชร์เรื่องราวให้อ่าน
กำลังคิดจะยกเลิกเวลาเล่นของลูก และเริ่มทำตารางเวลาของลูกให้มีประโยชน์ต่อตัวลูกเองตามแบบในเรื่องที่คุณเล่ามาเลยค่ะ
อ่านแล้วสะเทือนใจมากๆ จะยกเลิกทั้งหมดเลย ปล่อยให้ลูกได้ใช้เวลาให้สนุก สมควรแก่วัยเด็ก
ฝากบอกคุณแม่ที่อายขายหน้าว่า เมื่อพูดคุยกับใครไม่ได้ ก็ให้เขียนลงอีเมลล์ค่ะ เพราะจะเป็นการระบายความทุกข์ความอัดอั้นโดยไม่ต้องแสดงตัว อันนี้สำคัญมากเพราะว่าถ้าคุณแม่ทุกข์มากจนเอาไม่อยู่ก็อันตรายเหมือนกันค่ะ แล้วลูกใครจะดูแล คิดว่าคุณพ่อคนเดียวคงเอาไม่ไหวแน่ ขนาดในเวลาที่ควรปรองดองก้นไว้ให้มากเพื่อกู้เอาลูกกลับคืนมาให้ได้ ยังมามัวโทษเมียอยู่เลย
 

ter [ 2007-12-19 23:01:13 ]
   
แสดงความเห็นต่อบทความนี้
User :
Pass :
ลืมรหัสผ่าน

 
 
© Copyright 2007 SIAM-SHOP.COM All Rights Reserved.